วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การตีดาบคาตานะ

                          ศตวรรตที่ 15 ดาบคาตานะเป็นดาบจับสองมือมีด้านคมด้านเดียวมีเอกลักษณ์ที่ความโค้งงอของดาบ ทำให้ดึงดาบออกจากฝักแล้วฝันได้ทันทีชาวญี่ปุ่นเชี่ยวชาญอสวุถที่มีคมด้านเดียวชาวยุโรปจะเชี่ยวชาญอาวุถมีคมด้านเดียว

                          วิธีการตีดาบขึ้นมาที่วับซ้อนและต้องใช้ความอดทนอย่างเหลือเชื่อ ดาบจะถูกตีขึ้นมาจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นวึ่งการตีดาบนั้นสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น จากพ่อสู่ลูก จากอาจารย์สู่ลูกศิษย์จึงเป็นอาวุถที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณและประเพณี
                           ช่างตีดาบได้ทำการแบ่งเหล้กออกเป็น3ส่วน ส่วนแรกเป็นเหล้กอ่อนสอดไส้ดาบ ส่วนที่2เป็นเหล็กแข็งประกบข้างดาบ และส่วนสุดท้ายเป็นส่วนใบมีด เป็นเหล้กที่แข็งที่สุด ทำให้ดาบคมมาก



                          การตีดาบคาตานะจะใช้อุณหภูมิประมาณ800องศาเซลเซียส โดยช่างจะคัดเลือกชิ้นเหล็กที่ดีมาตีหลอมเข้าด้วยกันช่างจะตีเหล้กพับซ้อนกันทั้งหมด 22 ครั้งวึ่งจะเกิดชั้นโลหะ 22*22=4,194,304 ชั้นซึ่งจะทำให้มีความแข็งและยืดหยุ่นแล้วเกิดลายของดาบเสร็จแล้วจะทำการตีขึ้นรูปพอเป็นรูปดาบแล้วก็จะนำดาบมาทาดินเหนียวที่ขอบดาโดยทาบางที่คมดาบเพิ่อให้เกิดลวดลายที่คมดาบ แล้วนำเข้าเตาเผาการทำขอบดาบที่ปกคลุมด้วยดินเหนียวบางๆเย็นลงอย่างรวดเร็วเป็นการเก็บกักคาร์บอนไว้ในเหล็กด้วยความ
กดดันสูงทำให้เกิดเป็นคมดาบ ส่วนตัวดาบที่ดินเหนียว
ปกคลุมหนากว่าจะเย็นตัวช้ากว่าทำให้มีความยืดหยุ่น




                           จากนั้นจะเป็นการลับดาบ และขัดเงาลวดลายบนดาบที่เป็นรูปคลื่อนก็เกิดจากขั้นตอนนี้แหละโดยช่างลับจะใช้ดินเผาทาดาบเป็นรูปคลื่อนเพื่อป้องกันดาบไม่ให้เสียหายเวลาที่ถูกลับ ซึ่งขั้นตอนนี้ละเอียดอ่อนมาก การลับดาบต้องทำด้วยมือเปล่า

การตีดาบญี่ปุ่นนั้น แต่ละสำนักมีวิธีและเคล็ดลับแตกต่างกันไป แต่ยังคงพื้นฐานการตีดาบในแนวทางดั้งเดิมไว้เสมอ ดาบญี่ปุ่นเป็นดาบที่มีโครงสร้างเหล็กหลายชนิดมารวมกัน โดยจะแบ่งแยกชนิดการตีร่วมกับโครงสร้าง ซึ่งโครงสร้างในตัวดาบจะแบ่งระดับเหล็กได้สามระดับ ดังนี้
         – ชินคะเนะ 心金 เป็นเหล็กที่มีความแข็งในระดับอ่อนที่สุด มีความยืดหยุ่น ไม่เปราะหักง่าย นิยมนำมาตีเป็นแกนกลางของดาบ เหล็กที่นำมาใช้มาจากเหล็กซาเกะฮะเนะ 下鋼 (โฮโชเตซึ 宝生鉄)
         – คาวะคะเนะ 側金 เป็นเหล็กที่มีความแข็งในระดับปานกลาง  มีความยืดหยุ่นและความแข็งระดับพอเหมาะ นิยมนำมาตีประกบ หรือตีหุ้มเป็นผิวนอกของดาบ เหล็กที่นำมาใช้มาจากเหล็กซาเกะฮะเนะ 下鋼 (โฮโชเตซึ 宝生鉄) แล้วตีอัดเพิ่มคาร์บอนในปริมาณที่สูงขึ้น
         – ฮะคะเนะ 刃金 เป็นเหล็กที่มีความแข็งมากที่สุด สามารถรักษาคมดาบได้ดี แต่มีความเปราะ นิยมนำมาตีเป็นส่วนคมของดาบ หรือตีหุ้มแกนใน เพื่อเป็นส่วนคมและผิวของดาบ เหล็กที่นำมาใช้มาจากเหล็กทามะกะฮะเนะ 玉鋼 (เนะบะกะนะ ねば鋼)
โครงสร้างของใบดาบ ซึคุริโคมิ 作り込み
           
1. มุคุ 全鋼 (มารุ 丸) เป็นการตีด้วยโลหะชนิดเดียว คือทามะกะฮะเนะ 玉鋼 (เนะบะกะนะ ねば鋼) และชุบแข็ง พบมากในดาบยุคชูโคะโตะ 上古刀
2. โคบุเซะ 甲伏せ เป็นการตีเหล็กสองชิ้นเข้าด้วยกัน คือตีเอาเหล็กทามะกะฮะเนะ 玉鋼 (เนะบะกะนะ ねば鋼) ตีห่อเหล็กซาเกะฮะเนะ 下鋼 (โฮโชเตซึ 宝生鉄) โดยเหล็กทามะกะฮะเนะ 玉鋼 (เนะบะกะนะ ねば鋼) จะเป็นฮะคะเนะ 刃金 และคาวะคะเนะ 側金 ส่วนเหล็กซาเกะฮะเนะ 下鋼 (โฮโชเตซึ 宝生鉄) เป็นไส้ใน ถึงมูเนะ 棟 จะเป็นชินคะเนะ 心金
3. ฮอนซันไม 本三枚 เป็นการตีแบบใช้เหล็กสามชนิดประกอบกัน ได้แก่ เหล็กชินคะเนะ 心金 เป็นแกนกลาง ถึงมูเนะ 棟 และคาวะคะเนะ 側金 เป็นผิวประกบด้านข้างของดาบ และฮะคะเนะ 刃金 เป็นพื้นที่ส่วนคมของดาบ
4. ชิโฮซุเมะ 四方詰 เป็นการตีด้วยเหล็กสามชนิด ในสี่ตำแหน่ง ได้แก่ ชินคะเนะ 心金เ ป็นแกนกลางของดาบ คาวะคะเนะ 側金 เป็นตัวประกบด้านข้างของดาบ และเป็นสันดาบ (มูเนะคะเนะ 棟金) ส่วนฮะคะเนะ 刃金 จะอยู่ที่ตำแหน่งคมดาบ
5. มาคุริ 巻合 เป็นรูปแบบการตีโดยใช้เหล็กสองชนิด ลักษณะคล้ายโคบุเซะ 甲伏せ แต่แตกต่างตรงที่ มาคุริ 巻合 จะเป็นการตีเหล็กสองชนิดให้เป็นแผ่นแบน แล้วตีพับ โดยใช้ชินคะเนะ 心金 เป็นแผ่นบน ฮะคะเนะ 刃金 เป็นแผ่นล่าง เมื่อตีพับขึ้นเป็นตัว V ทำให้ฮะคะเนะ 刃金 จะเป็นคมดาบและพื้นที่ผิวด้านข้าง ส่วนชินคะเนะ 心金 จะเป็นแกนในและเป็นมูเนะ 棟
6. เคียะคุโคบุเซะ 逆甲伏せ เป็นการตีเหมือนโคบุเซะ 甲伏せ แต่เป็นการกลับด้านกัน โดยเอาฮะคะเนะ 刃金 เป็นแกนในและเป็นคมดาบ และใช้คาวะคะเนะ 側金 ห่อเป็นแกนนอก
7. ซันไม 三枚合 เป็นการตีเหล็กประกบกันสองชนิด โดยใช้เหล็กสามแผ่น ตามชื่อในภาษาญี่ปุ่น ซันไม ที่แปลว่าสามแผ่น โดยสองแผ่นข้างใช้คาวะคะเนะ 側金 ส่วนแกนกลางใช้ฮะคะเนะ 刃金
8. โกะไม 五枚合 เป็นการตีแบบมาคุริ 巻合 แต่สอดแกนกลางด้วยชินคะเนะ 心金 หรือเป็นการซ้อนแผ่นเหล็กต่างชนิดกันเหมือนซันไม 三枚合 แต่ใช้เหล็กห้าแผ่นตีประกบ
9. โซชูคิตะเตะ 相北手, มาซะมูเนะชิชิไม 正宗七枚合 เป็นการตีโดยใช้แผ่นเหล็กเจ็ดแผ่น ซึ่งเป็นการคิดค้นของสายโซชูแด็ง โดยมาซะมูเนะ ใช้เหล็กชินคะเนะ 心金 เป็นแกนกลาง และขนาบข้างด้วยคาวะคะเนะ 側金 โดยใช้ฮะคะเนะ 刃金 ประกอบเป็นชั้นนอก และทำเป็นสันดาบกับคมดาบ
10. เฮียวชิกิ ひょうしぎ เป็นการตีเหล็กสองชนิด คือคาวะคะเนะ 側金 เป็นส่วนบน และฮะคะเนะ 刃金 เป็นส่วนล่าง พบได้ในสำนักที่สืบทอดสายยามะโต้แด็ง 大和伝
11. วาริฮะกะเนะ 割刃金 เป็นการตีรูปแบบคล้ายเคียะคุโคบุเซะ 逆甲伏せ แต่ตีสอดเหล็กฮะคะเนะ 刃金 แค่เพียงส่วนที่เป็นคมดาบ ไม่สูงถึงแกนกลางในตัวดาบ
12. ฮะริฮะกะเนะ 梁刃金 เป็นรูปแบบการตีเหล็กสองชนิดแนบกัน คือฮะกะเนะ 刃金 เป็นแผ่นบางที่คมดาบ ตีสอดขนานไปด้านริม ส่วนคาวะคะเนะ 側金 เป็นตัวดาบ พบได้ในดาบยุคโชโคะโตะ 上古刀 ในรูปแบบใบทรงคิริฮะซุคุริ 切刃逗り



ดาบยาวอัศวิน ยุโรป

                ดาบยาวอัศวิน ยุโรป ลักษณะเหมือนไม้กางเขนใช้จับ2มือ มีด้านคม2ด้าน จะจับมือเดียวก็ได้ทุกส่วนของดาบใช้ต่อสู้ได้ปลายด้ามจับใช้การะแทก ใบดาบใช้ฟันทำให้การโจมตีหนักหน่วง




ดาบโรมัน

              ศวรรษที่ 4 ก่อนคริศต์ศักราชดาบโรมัน เหล็กที่ผสมกับคาร์บอนเรียกว่า เหล็กกล้า ในยุคโบราณเหล็กกล้าเปราะกว่าเหล้กทั่วไป ช่างตีดาบจึงนำเหล้กกล้ามาผสมกับเหล็ก คือกระบวนการทำให้เกิดลวดลาย ทำให้ดาบเหล้กกล้าคมและแข็งโดยนำเหล็กกล้าที่มีความเปราะกับเหล็กทั่วไปที่มีความยืดหยุ่นมาประกบกัน ตีให้เป็นแผ่งบางซ้ำไปเรื่อยๆทำให้เกิดเหล็กกล้าลับคมได้ง่าย ยิ่งเหล็กกล้ามีความบริสุทธิ์เท่าไหร่ความคมก็จะมากขึ้นเท่านั้น
             แต่ก็มีเหล็กกล้าที่แข็งกว่านั้นอีก ประมาณศตวรรษที่ 10 ได้มีการค้นพบว่า"เหล็กกล้าที่กำลังร้อน เมื่อจุ่มลงในน้ำเย็นทันทีชจะทำให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ดาบสมัยใหม่จึงมีความคมมากกว่าเดิมยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนคืดวิธีนี้ แต่วิธีนี้มีมาหลายร้อยปีแล้ว

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ดาบเหล็ก


              ศตวรรษที่14ก่อนคริสต์ศักราช ชาวยุโรปมีการใช้เหล็กมาสร้างเป็นดาบ ยุคเหล็กทำให้อาวุถที่่ทำจากเหล็กแพร่หลายเพราะหาง่ายกว่าทองแดง และดีบุก ซึ่งใช้ในการทำสำริดดาบเหล็กเป็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดด เพราะขึ้นรูปได้ดีกว่าและรักษาความคมได้ดีกว่า ไม่โค้งงอง่ายคงสภาพนานกว่าดาบสำริด




       
 ดาบเล็กค่อยๆได้รับความนิยมจนกลายเป็นอาวุธมาตรฐานของกองทัพในช่วง ชนชาตินิยมใช้ดาบเหล็กเป็นชาติแรกๆ ได้แก่ ชาวฮิตไทต์ นักรบแห่งนครไมซีเนียนของกรีก แล้วก็ชาวเซลต์ในยุคก่อตั้งรกราก ในยุโรป ดาบเหล้กในยุคเริ่มแรกมีประสิทธิภาพเทียบกับไม่ได้กับเหล็กกล้า แต่กระบวนการเตรียมวัตถุดิบและการตีดาบค่อนข้างง่ายกว่ามาก สิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามไปคือใช่ว่ามนุษย์ในยุคทองแดงจะไม่รู้จักแร่เหล็กเลย แต่เทคโนโลยียุคทองแดงยังไปไม่ถึง ดาบเหล็กเลยไม่เป็นที่นิยม และเมื่อว่ากันตามคุณสมบัติและความง่าย ในการผลิตแล้ว ดาบทองแดงทำง่ายกว่า

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ดาบสำริด

ประวัติศาสตร์ของดาบ

ยุคสำริด (Bronze Age)
ดาบที่ถูกสร้างขึ้นในช่วง 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ในช่วงปลายสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราชในตะวันออกกลาง "ดาบ"ถูกพัฒนามาจาก"กริช" ซึ่งต้องการให้ใบมีดยาวกว่าเดิมเท่าที่จะเป็นไปได้ ในช่วงแรกดาบทำมาจากธาตุทองแดง-สารหนู ต่อมาใช้ธาตุดีบุก-ทองแดง อาวุธดาบที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยพบอยู่ที่ Arslantepe ในประเทศตุรกี ซึ่งมีอายุประมาณ 3300 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ดาบที่เก่าแก่ที่สุด (มีดาบที่เก่าแก่กว่านี้ แต่ไม่เคยพบ) ดาบที่พบมีความยาวมากกว่า 60 เซนติเมตร เป็นดาบที่หายากและไม่ค่อยทำขึ้นเนื่องจากทองสัมฤทธิ์ค่อนข้างอ่อนและใบมีดสามารถบิดโค้งงอได้ง่าย ในยุคนี้ดาบยังไม่พัฒนาดาบให้แข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ทองสัมฤทธิ์มักจะนำไปทำเป็นเครื่องประดับเช่นกัน
 ดาบสำริดมีความอ่อนและน้ำหนักมากเป็นโลหะอ่อน ง่ายต่อการขึ้นรูป
ดาบที่ถูกสร้างขึ้นในช่วง 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช

ดาบสากล

ประวัติย่อของดาบ | Brief History of Sword

ดาบสั้น (กริช)
ดาบยาว
ดาบเป็นอาวุธมีดชนิดหนึ่งซึ่งใช้สำหรับ "ฟัน" หรือ "แทง" สำหรับคำนิยามที่ถูกต้องของดาบในยุคประวัติศาสตร์นั้นอาจหมายถึง "ใบมีดตรงและมีด้ามจับ" นอกจากนี้อาจยังหมายถึงอาวุธที่มีขอบเพียงด้านเดียว (BackSword)
คำว่า Sword มาจากภาษาอังกฤษยุคโบราณ swert ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก swer ซึ่งแปลว่า "เพื่อตัด เพื่อฟัน" ในแต่ละที่จะมีคำเรียกที่แตกต่างกันไป เช่น

แถบตะวันออกกลาง เรียก "ดาบ" ว่า "saif"
จีน เรียก "ดาบ" ว่า "dao"
ญี่ปุ่น เรียก "ดาบ" ว่า "katana"

ในอดีตนั้น ดาบถูกพัฒนามาตั้งแต่ยุคสำริด (Bronze Age) มันถูกพัฒนามาจากกริช (Dagger; ดาบสั้น) ได้พบหลักฐานดาบที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งอยุ่ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อมาถึงยุคเหล็ก ดาบยังคงค่อนข้างสั้นและด้ามจับยังไม่พัฒนาไปไกล ใน"ยุคกลาง" ดาบถูกพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในกองทัพโรมัน (เรีกยว่าดาบ Spatha) และเข้าสู่ยุคการพัฒนาอาวุธดาบอย่างจริงจัง

ผู้ที่ใช้ดาบเป็นอาวุธจะถูกเรียกว่า"นักดาบ" (Swordsman) ในช่วงต้น"ยุคใหม่" ดาบถูกพัฒนา  มาเป็นกระบี่ (Rapier) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าดาบ